วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

1.3 การวัดปริมาณสาร


    ในปฏิบัติการเคมีจำเป็นต้องมีการชั่ง ตวง และวัดปริมาณสารซึ่งการชั่ง ตวง วัดมีความคลาดเคลื่อนที่ เกิดจากอุปกรณ์ ที่ใช้หรือผู้ทำปฏิบัติการที่จะส่งผลให้ผลการทดลองที่ได้มีความมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าจริง ความน่าเชื่อถือของข้อมูลสามารถพิจารณาได้ 2 ส่วนด้วยกันคือความเที่ยง และความแม่นของข้อมูลโดยความ เที่ยงคือ ความใกล้เคียงของข้าวที่ได้จากการวัดส่วนความแม่นคือความใกล้เคียงของค่าเฉลี่ยจากการวัดซ้ำ เทียบกับค่าจริง 1.3.1 อุปกรณ์วัดปริมาตร อุปกรณ์วัดปริมาตรสารเคมีที่เป็นของเหลวที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมี ขีดและตัวเลขแสดงปริมาตรที่ได้รับการตรวจสอบมาตรฐาน และก าหนดความคลาดเคลื่อน ที่ยอมรับได้ บาง ชนิดมีความคลาดเคลื่อนน้อย บางชนิด มีความคลาดเคลื่อนมาก ในการเลือกใช้ต้อง ค านึงถึงความเหมาะสม กับปริมาตรและระดับความแม่นที่ต้องการ อุปกรณ์วัดปริมาตรบางชนิดที่นักเรียน ได้ใช้งานในการทำ ปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา เช่น บีกเกอร์ ขวดรูปกรวย กระบอกตวง เป็น อุปกรณ์ที่ไม่สามารถบอก ปริมาตรได้แม่นมากพอสำหรับการทดลองในบางปฏิบัติการ 
 บีกเกอร์  
บีกเกอร์ (beaker) มีลักษณะเป็นทรงกระบอกปากกว้าง มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร มีหลายขนาด ดังรูป
ขวดรูปกรวย 
 ขวดรูปกรวย (erlenmeyer flask) มีลักษณะคล้ายผลชมพู่ มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร มีหลายขนาด ดังรูป

กระบอกตวง 
 กระบอกตวง (measuring cylinder) มีลักษณะเป็นทรงกระบอก มีขีดบอกปริมาตรในระดับ มิลลิลิตร มีหลายขนาด ดังรูป 



นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่สามารถวัดปริมาตรของของเหลวได้แม่นมากกว่าอุปกรณ์ข้างต้น โดยมีทั้งที่ เป็นการวัดปริมาตรของของเหลวที่บรรจุอยู่ภายใน และการวัดปริมาตรของของเหลวที่ถ่ายเท เช่น ปิเปตต์ บิวเรตต์ ขวดกำหนดปริมาตร 
 ปิเปตต์ 
ปิเปตต์ (pipette) เป็นอุปกรณ์วัดปริมาตรที่มีความแม่นสูง ซึ่งใช้ส าหรับถ่ายเทของเหลว ปิเปตต์ ที่ใช้กันทั่วไปมี 2 แบบ คือ แบบปริมาตรซึ่งมีกระเปาะตรงกลาง มีขีดบอกปริมาตรเพียงค่าเดียว และแบบ ใช้ตวง มีขีดบอกปริมาตรหลายค่า ดังรูป
บิวเรตต์ 
 บิวเรตต์ (burette) เป็นอุปกรณ์ส าหรับถ่ายเทของเหลวในปริมาตรต่าง ๆ ตามต้องการ มีลักษณะ เป็นทรงกระบอกยาวที่มีขีดบอกปริมาตร และมีอุปกรณ์ควบคุมการไหลของของเหลวที่เรียกว่า ก๊อก ปิด เปิด (stop cock) ดังรูป


 ขวดกำหนดปริมาตร (volumetric flask) 
เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาตรของของเหลวที่บรรจุ ภายในใช้สำหรับเตรียมสารละลายที่ต้องการความเข้มข้นแน่นอน มีขีดบอกปริมาตรเพียงขีดเดียว มีจุก ปิดสนิท ขวดก าหนดปริมาตรมีหลายขนาด ดังแสดงในรูป


การใช้อุปกรณ์วัดปริมาตรเหล่านี้ให้ได้ค่าที่น่าเชื่อถือจะต้องมีการอ่านปริมาตรของของเหลว ให้ถูกวิธี โดยต้องให้สายตาอยู่ระดับเดียวกันกับระดับส่วนโค้งของของเหลว โดยถ้าส่วนโค้งของ ของเหลวมีลักษณะ เว้า ใหอ่านปริมาตรที่จุดต่ าสุดของส่วนโค้งนั้น แต่ถ้าส่วนโค้งของของเหลวมี ลักษณะนูน ให้อ่านปริมาตรที่ จุดสูงสุดของส่วนโค้งนั้น แสดงดังรูป การอ่านค่าปริมาตรของ ของเหลวให้อ่านตามขีดบอกปริมาตรและ ประมาณค่าทศนิยมต าแหน่งสุดท้าย


    อุปกรณ์วัดปริมาตรบางชนิด เช่น ปิเปตต์แบบปริมาตร ขวดกำหนดปริมาตร มีขีดบอก ปริมาตรเพียง ขีดเดียว อุปกรณ์ประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในการถ่ายเทหรือบรรจุของเหลวที่มี ปริมาตรเพียงค่า เดียวตามที่ระบุบนอุปกรณ์ ดังนั้นผู้ใช้จึงจ าเป็นต้องพยายามปรับระดับของเหลวให้ ตรงกับขีดบอก ปริมาตร 
    การบันทึกค่าปริมาตรให้บันทึกตามขนาดและความละเอียดของอุปกรณ์ เช่น ปิเปตต์มีความ ละเอียดของค่าปริมาตรถึงทศนิยมต าแหน่งที่สอง ดังนั้นปริมาตรของเหลวที่ได้จากการใช้ปิเปตต์ ขนาด 10 มิลลิลิตร บันทึกค่าปริมาตรเป็น 10.00 มิลลิลิตร 
    1.3.2 อุปกรณ์วัดมวล 
     เครื่องชั่ง เป็นอุปกรณ์ส าหรับวัดมวลของสารทั้งที่เป็นของแข็งและของเหลว ความน่าเชื่อถือ ของ ค่ามวลที่วัดได้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องชั่งและวิธีการใช้เครื่องชั่ง เครื่องชั่งที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ เคมีโดยทั่วไปมี 2 แบบ คือ เครื่องชั่งแบบสามคาน (triple beam) และเครื่องชั่งไฟฟ้า (electronic balance) ซึ่งมีส่วนประกอบหลัก ดังรูป


ปัจจุบันเครื่องชั่งไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถใช้งานได้สะดวกและหาซื้อได้ง่าย ตัวเลขทศนิยมต าแหน่งสุดท้ายซึ่งเป็นค่าประมาณของเครื่องชั่งแบบสามคานมาจากการประมาณของผู้ชั่ง ขณะที่ทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายของเครื่องชั่งไฟฟ้ามาจากการประมาณของอุปกรณ์

1.3.3 เลขนัยสำคัญ  
    ค่าที่ได้จากการวัดด้วยอุปกรณ์การวัดต่าง ๆ ประกอบด้วยตัวเลขและหน่วย โดยค่าตัวเลขที่ วัดได้ จากอุปกรณ์แต่ละชนิดอาจมีความละเอียดไม่เท่ากัน ซึ่งการบันทึกและรายงานค่าการอ่านต้อง แสดง จำนวนหลักของตัวเลขที่สอดคล้องกับความละเอียดของอุปกรณ์  
    จากรูป อุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์ทั้งสอง มีค่าเท่าใด


    จากรูป อุณหภูมิจากเทอร์มอมิเตอร์แบบดิจิทัลอ่านได้เท่ากับ 26.22 องศาเซลเซียส ขณะที่อุณหภูมิ จากเทอร์มอมิเตอร์ต าแหน่งของของเหลวอยู่ที่ขีดบอกอุณหภูมิ 26 ซึ่งการบันทึก และรายงานค่าต้องมีการ ประมาณค่าในต าแหน่งสุดท้ายด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับความละเอียดของ อุปกรณ์ ดังนั้นอาจบันทึก อุณหภูมิที่ได้เป็น 26.0 องศาเซลเซียส โดยตัวเลขทุกตัวถือว่ามีความส าคัญ และจ านวนหลักของตัวเลข ทั้งหมด เรียกว่า เลขนัยส าคัญ (significant figure) ดังนั้นค่าที่ได้จากการวัด อุณหภูมิด้วยเทอร์มอมิเตอร์ แบบดิจิทัลและเทอร์มอมิเตอร์มีเลขนัยส าคัญ 4 และ 3 ตัว ตามลำดับ
    การนับเลขนัยสำคัญ 
     การนับเลขนัยสำคัญของข้อมูลมีหลักการ ดังนี้ 
     1. ตัวเลขที่ไม่มีเลขศูนย์ทั้งหมดนับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น 
             1.23 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว 
     2. เลขศูนย์ที่อยู่ระหว่างตัวเลขอื่น นับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น 
             6.02 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว 
             72.05 มีเลขนัยสำคัญ 4 ตัว 
     3. เลขศูนย์ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่น ไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น 
             0.25 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว 
             0.025 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว 
     4. เลขศูนย์ที่อยู่หลังตัวเลขอื่นที่อยู่หลังทศนิยม นับเป็นเลขนัยส าคัญ เช่น  
            0.250 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว 
            0.0250 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว  
5. เลขศูนย์ที่อยู่หลังเลขอื่นที่ไม่มีทศนิยม อาจนับหรือไม่นับเป็นเลขนัยส าคัญก็ได้ เช่น  
            100 อาจมีเลขนัยสำคัญเป็น 1 2 หรือ 3 ตัวก็ได้ 
     เนื่องจากเลขศูนย์ในบางกรณีอาจมีค่าเป็นศูนย์จริง ๆ จากการวัด หรือเป็นตัวเลขที่ใช้แสดงให้เห็น ว่าค่าดังกล่าวอยู่ในหลักร้อย 
6. ตัวเลขที่แม่นตรง (exact number) เป็นตัวเลขที่ทราบค่าแน่นอนมีเลขนัยส าคัญเป็นอนันต์ เช่น 
     ค่าคงที่ เช่น π = 3.142… มีเลขนัยสำคัญเป็นอนันต์  
     ค่าจากการนับ เช่น ปิเปตต์ 3 ครั้ง เลข 3 ถือว่ามีเลขนัยส าคัญเป็นอนันต์ 
     ค่าจากการเทียบหน่วย เช่น 1 วัน มี 24 ชั่วโมง ทั้งเลข 1 และ 24 ถือว่ามีเลขนัยส าคัญ เป็นอนันต์ 
 7. ข้อมูลที่มีค่าน้อย ๆ หรือมาก ๆ ให้เขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ โดยตัวเลขสัมประสิทธิ์ ทุกตัวนับเป็นเลขนัยส าคัญ เช่น 
            6.02 × 10²³ มีเลขนัยสคัญ 3 ตัว 
            1.660 × 10-24 มีเลขนัยส าคัญ 4 ตัว 
            ค่าตัวเลข 100 ในตัวอย่างข้อ 5 สามารถเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ แล้ว แสดง เลขนัยส าคัญได้อย่างชัดเจน เช่น 
            1 × 10² มีเลขนัยส าคัญ 1 ตัว 
            1.0 × 10² มีเลขนัยส าคัญ 2 ตัว 1.00 × 10² มีเลขนัยส าคัญ 3 ตัว 
การคำนวณค่าตัวเลขที่ได้จากการวัดมาค านวณจะต้องค านึงถึงเลขนัยส าคัญของผลลัพธ์ โดยการค านวณ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตัวเลขที่ได้จากอุปกรณีที่แตกต่างกันทั้งหน่วยและความละเอียด ดังนั้น ต้องมีการตัด ตัวเลขในผลลัพธ์ด้วยการปัดเศษ ดังต่อไปนี้
    การปัดตัวเลข  
    การปัดตัวเลข (rounding the number) พิจารณาจากตัวเลขที่อยู่ถัดจากต าแหน่งที่ต้องการ ดังนี้ 
             1. กรณีที่ตัวเลขถัดจากต าแหน่งที่ต้องการมีค่าน้อยกว่า 5 ให้ตัดตัวเลขที่อยู่ถัดไปทั้งหมด เช่น 5.7432
     ถ้าต้องการเลขนัยสำคัญ 2 ตัว ปัดเป็น 5.7 ถ้าต้องการเลขนัยส าคัญ 3 ตัว ปัดเป็น 5.74 
             2. กรณีที่ตัวเลขถัดจากต าแหน่งที่ต้องการมีค่ามากกว่า 5 ให้เพิ่มค่าของตัวเลขต าแหน่งสุดท้าย ที่ ต้องการอีก 1 เช่น 
 3.7892 ถ้าต้องการเลขนัยส าคัญ 2 ตัว ปัดเป็น 3.8 
 ถ้าต้องการเลขนัยสำคัญ 3 ตัว ปัดเป็น 3.79  
            3. กรณีที่ตัวเลขถัดจากต าแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และมีตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ 0 ต่อจากเลข 5 ให้เพิ่มค่าของตัวเลขต าแหน่งสุดท้ายที่ต้องการอีก 1 เช่น 
 2.1652 ถ้าต้องการเลขนัยส าคัญ 3 ตัว ปัดเป็น 2.17 กรณีที่ตัวเลขถัดจากต าแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และมี 0 ต่อจากเลข 5 ให้พิจารณาโดย ใช้ หลักการในข้อ 4 
            4. กรณีที่ตัวเลขถัดจากต าแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และไม่มีเลขอื่นต่อจากเลข 5 ต้อง พิจารณาตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 ดังนี้  
                4.1 หากตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 เป็นเลขคี่ ให้ตัวเลขดังกล่าวบวกค่าเพิ่มอีก 1 แล้วตัดตัวเลข ตั้งแต่เลข 5 ไปทั้งหมด เช่น 0.635 ถ้าต้องการเลขนัยส าคัญ 2 ตัว ปัดเป็น 0.64  
                4.2 หากตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 เป็นเลขคู่ ให้ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขเดิม แล้วตัดตัวเลข ตั้งแต่เลข 5 ไปทั้งหมด เช่น 0.645 ถ้าต้องการเลขนัยส าคัญ 2 ตัว ปัดเป็น 0.64 
     สำหรับการค านวณหลายขั้นตอน การปัดตัวเลขของผลลัพธ์ให้ท าในขั้นตอนสุดท้ายของการ ค านวณ                 
1.4 หน่วยวัด
    
    การระบุหน่วยของการวัดปริมาณต่าง ๆ ในชีวิตประจ าวันไม่ว่าจะเป็นความยาว มวล อุณหภูมิ อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น การระบุน้ าหนักเป็นกิโลกรัม ปอนด์ หรือ การระบุส่วนสูงเป็น เซนติเมตร ฟุต ซึ่งท าให้ไม่สะดวกในการเปรียบเทียบหรือสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน และในบางกรณี อาจ น าไปสู่ความเข้าใจผิดที่ท าให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้น เพื่อให้การสื่อสารข้อมูลจากการวัดเป็น ที่เข้าใจ ตรงกัน จึงมีการตกลงร่วมกันให้มีหน่วยมาตรฐานสากลขึ้น 
                 1.4.1 หน่วยในระบบเอสไอ ในปี พ.ศ. 2503 ที่ประชุมนานาชาติว่าด้วยการ ชั่งและการวัด (The General conference on Weights and Measures) ได้ตกลงให้มีหน่วยวัดสากลขึ้น เรียกว่า ระบบหน่วยวัด ระหว่างประเทศ หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า หน่วยเอสไอ (SI units) ซึ่งเป็นหน่วยที่ดัดแปลงจาก หน่วยในระบบเมทริกซ์ โดยหน่วยเอส ไอแบ่งเป็นหน่วยพื้นฐาน (SI base units) มี 7 หน่วย แสดงดังตาราง 1.1 ซึ่งเป็นหน่วยที่ไม่ขึ้นต่อกัน และ สามารถน าไปใช้ในการก าหนดหน่วยอื่น ๆ ได้และหน่วยเอสไออนุพันธ์ (Derived SI units) ซึ่งเป็นหน่วย อื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันทางคณิตศาสตร์ของหน่วยเอสไอพื้นฐาน ตัวอย่างแสดงดังตาราง 1.2



    ในทางวิทยาศาสตร์การค านวณเกี่ยวกับปริมาณต่าง ๆ อาจจ าเป็นต้องมีการเปลี่ยนหน่วยให้ อยู่ใน หน่วยที่เหมาะสมโดยไม่ท าให้ค่าของปริมาณเปลี่ยนแปลง เช่น ในทางเคมีนิยมระบุพลังงาน ในหน่วย แคลอรี ในขณะที่หน่วยเอสไอของพลังงานคือจูล ดังนั้น นักเคมีจึงจ าเป็นต้องเปลี่ยนหน่วย พลังงาน ระหว่างแคลอรีและจูลเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน การเปลี่ยนหน่วยท าได้หลายวิธี ในที่นี้ จะใช้วิธีการ เทียบหน่วย ซึ่งต้องใช้แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย 
    1.4.2 แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย  
    แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย (conversion factors) เป็นอัตราส่วนระหว่างหน่วยที่แตกต่างกัน 2 หน่วย ที่มีปริมาณเท่ากัน ตัวอย่างการหาแฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยเป็นดังน


    ในทางคณิตศาสตร์เมื่อคูณปริมาณด้วย “1” จะท าให้ค่าของปริมาณเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และ แฟก เตอร์เปลี่ยนหน่วย และ ก็มีค่าเท่ากับ 1 ดังนั้นจึงสามารถน าแต่ละแฟกเตอร์ เปลี่ยนหน่วยไปใช้ในการ เปลี่ยนหน่วยของปริมาณที่วัดจากหน่วยหนึ่งไปเป็นหน่วยอื่นโดยปริมาณ ไม่เปลี่ยนแปลง ส าหรับตัวอย่าง แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยนี้ ใช้เปลี่ยนหน่วยจูลให้เป็นแคลอรีหรือ แคลอรีให้เป็นจูล ตามล าดับ เช่น พลังงาน 20 cal สามารถเปลี่ยนเป็นหน่วยจูลได้ ดังนี้
    วิธีการเทียบหน่วย 
    วิธีการเทียบหน่วย (factor label method) ท าได้โดยการคูณปริมาณในหน่วยเริ่มต้นด้วย แฟก เตอร์เปลี่ยนหน่วยที่มีหน่วยที่ต้องการอยู่ด้านบน ตามสมการ 


1.5 วิธีการทางวิทยาศาสตร์  
    
    การทำปฏิบัติการเคมีนอกจากต้องมีการวางแผนการทดลอง การท าการทดลอง การบันทึกข้อมูล การสรุปและวิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอข้อมูล และการเขียนรายงานการทดลองที่ถูกต้อง แล้วต้อง คำนึงถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ 
     วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) เป็นกระบวนการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่มีแบบแผนขั้นตอน โดยภาพรวมสามารถท าได้ดังนี้  
    1. การสังเกต เป็นจุดเริ่มต้นของการได้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการศึกษา โดยอาศัยประสาท สัมผัสทั้ง 5 คือ การมองเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การรับรส และการสัมผัส จากข้อมูลดังกล่าวจะ น าไปสู่ข้อสงสัยหรือตั้งเป็นค าถามที่ต้องการค าตอบ ดังนั้นการสังเกตจึงเป็นทักษะที่ส าคัญที่ก่อให้เกิดการ เรียนรู้ของผู้เรียน 
     2. การตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเนค าตอบของค าถามหรือปัญหา โดยมีพื้นฐานจากการ สังเกต ความรู้หรือประสบการณ์เดิม โดยทั่วไปสมมติฐานจะเขียนในรูปของข้อความที่แสดงเหตุและผลที่ เกิดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งจะเป็นความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม 
    3. การตรวจสอบสมมติฐาน เป็นกระบวนการหาค าตอบของสมมติฐาน โดยมีการออกแบบ การ ทดลองให้มีการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการทดลอง รวมถึงขั้นตอนการทดลองที่ชัดเจน  
    4. การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผล เป็นการน าข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การตรวจสอบ สมมติฐาน มารวบรวม วิเคราะห์ และอธิบายข้อเท็จจริง 
     5. การสรุปผล เป็นการสรุปความรู้หรือข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจสอบสมมติฐาน และมีการ เปรียบเทียบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ก่อนหน้า 
     ทั้งนี้ ในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัว โดยอาจมีรายละเอียดที่ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับค าถาม บริบท หรือวิธีการที่ใช้ในการส ารวจตรวจสอบ 
     นอกจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้ว การเขียนรายงานการทดลองเป็นสิ่งส าคัญเช่นกัน เพราะ นอกจากจะช่วยให้ผู็ท าการทดลองมีข้อมูลไว้อ้างอิงแล้ว รายงานยังเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ผู้อื่นสามารถ นำไปศึกษาและปฏิบัติตามได้ โดยหัวข้อที่ควรมีในรายงานการทดลองมีดังนี้ 
    1. ชื่อการทดลอง                               5. วิธีการทดลอง 
    2. จุดประสงค์                                    6. ผลการทดลอง 
    3. สมมติฐานและการกำหนดตัวแปร 7. อภิปรายและสรุปผลการทดลอง 
    4. อุปกรณ์และสารเคมี 

    การศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific process skill) และจิตวิทยาศาสตร์ (scientific mind) โดยมีรายละเอียดดังนี้ 
     ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นความสามารถและความช านาญในการคิดเพื่อค้นหา ความรู้และแก้ไขปัญหา โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 14 ทักษะ คือ การสังเกต การวัด การลงความเห็นจากข้อมูล การจ าแนกประเภท การหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา การใช้ จ านวน การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล การพยากรณ์ การตั้งสมมติฐาน การก าหนด นิยามเชิง ปฏิบัติการ การก าหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป และการ สร้างแบบจ าลอง 
    จิตวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรมหรือลักษณะนิสัย ที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ และการเรียนรู้ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิด การตัดสินใจ หรือพฤติกรรมของบุคคลต่อความรู้หรือ สิ่งที่มีความ เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เช่น ความอยากรู้อยากเห็น 
    การใช้วิจารณญาณ ความใจกว้าง ความซื่อสัตย์ ความมุ่งมั่นอดทน ความรอบคอบ การเห็นความส าคัญและคุณค่าของวิทยาศาสตร์ 
    การที่นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ เห็นคุณค่าของการเรียนวิทยาศาสตร์ ย่อมจะท าให้ มี ความฝักใฝ่ในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และมีการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องเหมาะสม  
    การศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น นอกจากการเรียนรู้อย่างเป็นระบบตามวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ โดยอาศัยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์แล้วนั้น ผู้เรียน ยังต้อง ค านึงถึงจริยธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับความถูกต้องในการศึกษาวิทยาศาสตร้ที่มีต่อตนเอง ผู้อื่น และ สิ่งแวดล้อม ตัวอย่างจริยธรรมทางวิทยาศาสตร้ เช่น ความซื่อสัตย์ในการรายงานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูลอย่างอิสระบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่ โดย ไม่ให้ข้อมูลจากแหล่ง ภายนอกมีอิทธิพลต่อการวิเคราะห์และการตีความ การอ้างอิงแหล่งของข้อมูล ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ความรับผิดชอบต่อสังคมหรือสภาพแวดล้อม














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อสอบเรื่องอะตอมและสมบัติของธาตุ

  1.  อะตอมประกอบไปด้วยโปรตอนและอิเล็กตรอนในจำนวนที่เท่า ๆ กัน คือ แบบจำลองอะตอมของใคร                                                      ...